ในการสัมภาษณ์ที่นานๆ จะเกิดขึ้นสักครั้ง Phil Knight ที่ตอนนี้อายุ 86 เคยอธิบายให้ Harvard Business Review ฟังเมื่อปี 1992 ว่าบริษัทมองหาอะไรในตัวพาร์ทเนอร์ "เทคนิคคือการมองหานักกีฬาที่ไม่ได้ชนะเป็นอย่างเดียวแต่ยังปลุกอารมณ์คนเป็นด้วย" เขากล่าว ซึ่งตลอดช่วงเวลาหลายทศวรรษ คุณจะเห็นว่า Nike ประสบความสำเร็จในเรื่องนั้นมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็น Andre Agassi, Charles Barkley, Emma Raducanu หรือ Ja Morant เมื่อได้พบนักกีฬาเหล่านี้ Nike ก็หวังที่จะได้เติบโตร่วมกัน "เราค่อยๆ ใช้เวลาเพื่อรู้จักและทำความเข้าใจ เราจำเป็นต้องสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับนักกีฬาของเรา" Knight อธิบาย "ความสัมพันธ์นั้นมากกว่าแค่เรื่องเงินๆ ทองๆ ในธุรกิจ John McEnroe กับ Joan Benoit ใส่รองเท้าของเราทุกวันทั้งที่ไม่ได้อยู่ในสัญญา เราชอบพวกเขาและพวกเขาชอบเรา เราชนะใจได้และชนะเท้าได้ด้วย"
ถ้าจะสรุปแนวทางของ Nike ง่ายๆ ก็คือการชนะใจและชนะเท้านี่แหละ ซึ่งก็เป็นอย่างนั้นมาตั้งแต่ต้น เพราะความเป็น Nike คือการเป็นมากกว่าโค้ชและนักกีฬา เฉกเช่นความสัมพันธ์ระหว่าง Knight กับโค้ชแห่ง University of Oregon อย่าง Bill Bowerman แม้ในชั่วระยะเวลามากกว่าครึ่งศตวรรษ บริษัทจะพัฒนาไปมากแค่ไหน ภูมิทัศน์ทางกีฬาจะเปลี่ยนไปอย่างไร แต่เรื่องนี้ก็ยังคงเดิมเสมอ "ไม่ว่าอะไรจะเปลี่ยนไป เรายังคงเริ่มต้นด้วยนักกีฬาที่เก่งที่สุด กับเรื่องราวที่ดีที่สุด พร้อมสวมสินค้าที่ดีที่สุด แล้วออกไปชนะ มันอยู่บนท้ายรถคันนั้นของ Phil มันคือการคว้าคนที่มีแววจะชนะมาราธอนให้มาสวมรองเท้าของคุณ และในบางมุม ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิมในวันนี้ โลกอาจจะกว้างใหญ่ขึ้นและซับซ้อนมากกว่าแต่ก่อน แต่เรายังคงเฟ้นหานักกีฬาเก่งๆ มาร่วมมือกันและช่วยเหลือให้พวกเขาประสบความสำเร็จตามที่มุ่งหวัง"
และความสัมพันธ์อันใกล้ชิดต่อนักกีฬาเหล่านั้น บริษัทยังคงจดจำผ่านแคมปัสสาขาบีเวอร์ตัน รัฐโอเรกอน ด้วยการตั้งชื่ออาคารตามเหล่าสุดยอดนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุด "อาคารแต่ละหลังตั้งชื่อตามเหล่าชายและหญิงที่ให้เรามากกว่าชื่อและการสนับสนุน" Knight อธิบายในบันทึกชีวประวัติปี 2016 ของตนอย่าง Shoe Dog "ทั้ง Joan Benoit Samuelson, Ken Griffey Jr., Mia Hamm, Tiger Woods, Dan Fouts, Jerry Rice, Steve Prefontaine ทุกคนทำให้เราเป็นเราในวันนี้"
"การตั้งชื่ออาคารตามนักกีฬาเป็นไอเดียที่เจ๋งมาก" John McEnroe กล่าว เขาคือหนึ่งคนที่เป็นชื่อของอาคารในแคมปัสและเป็นพาร์ทเนอร์นักกีฬาที่ยาวนานที่สุดของ Nike คือ 44 ปีและยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงเป็นแชมป์แกรนด์สแลมทั้งหมด 7 สมัยตลอดเส้นทางอาชีพ ความสัมพันธ์อันยาวนานของแชมป์เทนนิสคนนี้กับ Nike ชี้ให้เห็นความแตกต่างที่ชัดเจนว่าบริษัทคิดอย่างไรกับผู้สนับสนุนของตน ซึ่งแม้แต่ Knight ก็อาจจะไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักกีฬาที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางของ Nike ตลอด 50 ปีมีทั้งหมดกี่คนกันแน่ แต่ไม่ว่าเวลาไหน บริษัทก็รักษาตัวเลขความสัมพันธ์กับนักกีฬาและองค์กรต่างๆ ทั่วโลกไว้ที่เกือบ 16,000 ราย โดยเมื่อไม่นานมานี้ Forbes รายงานว่านักกีฬาที่มีรายได้สูงสุด 100 อันดับแรกนั้น มีจำนวนมากกว่าครึ่งเป็นสมาชิกครอบครัว Nike เพราะ Nike คือแบรนด์ของแชมเปี้ยน