• เรื่องเด่น

เส้นทางสู่การเป็นไอคอน: ประวัติ Chuck Taylor All Star

  • 23/6/2568

ย้อนกลับไปในปี 1908 ณ เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ Marquis Mills Converse ได้ก่อตั้งบริษัทในชื่อของตนเองด้วยปณิธานอันมุ่งมั่นที่จะสร้างธุรกิจที่เป็นอิสระจากการผูกขาดของอุตสาหกรรม โดยมีรากฐานจากชุมชนช่างทำรองเท้ายางฝีมือดีที่สุด สินค้าแรกเริ่มคือรองเท้ากันฝนและรองเท้าบูทกันน้ำสำหรับฤดูหนาว โดยความต้องการสินค้าจะลดลงในช่วงฤดูร้อน Converse จึงต้องหาสินค้าสำหรับซัมเมอร์มานำเสนอ เพื่อให้ช่างฝีมือผู้เชี่ยวชาญยังคงมีงานทำตลอดทั้งปี รองเท้าเทนนิสผ้าใบพื้นยางจึงเปิดตัวในปี 1910 ทว่าความก้าวหน้าครั้งสำคัญของบริษัทมาถึงเมื่อมองเห็นโอกาสที่จะนำนวัตกรรมอันเป็นเอกลักษณ์มาประยุกต์ใช้กับสนีกเกอร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับกีฬาชนิดใหม่ที่เพิ่งถือกำเนิดขึ้นในท้องถิ่น ซึ่งก็คือบาสเก็ตบอล

บาสเก็ตบอลถูกคิดค้นขึ้นในปี 1891 ที่เมืองสปริงฟิลด์ รัฐแมสซาชูเซตส์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกัน กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นและเริ่มมีการนำไปเล่นในวิทยาลัยต่างๆ ในภูมิภาค เวลานั้น Converse ก็เปิดตัวรองเท้า "Non-Skid" ในปี 1917 พร้อมนิยามว่านี่คือ "รองเท้าบาสเก็ตบอลสัญชาติอเมริกันแท้" รองเท้าคู่นี้สร้างขึ้นบนหุ่นรองเท้าลำลองดั้งเดิมของบริษัท โดยมีส่วนหุ้มข้อสองชิ้นเพื่อความกระชับข้อเท้าที่เหนือกว่า จับคู่กับพื้นรองเท้ากันลื่นที่ใช้ลวดลายดอกยางรูปเพชรที่จดสิทธิบัตรของ Converse 

นวัตกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของ Chuck ที่ออกแบบมาเพื่อบาสเก็ตบอลโดยเฉพาะ ภาพประกอบโดย Naomi Otsu

สนีกเกอร์รุ่นนี้ทำตลาดครั้งแรกกับโค้ชในพื้นที่ ซึ่งให้ข้อเสนอแนะที่เป็นประโยชน์กับ Converse หนึ่งในนั้นคือการแนะนำให้ใช้ผ้าใบส่วนบนที่สีเข้มกว่าเดิม เพราะสีน้ำตาลอ่อนมักจะเผยรอยขีดข่วนและคราบสกปรกมากเกินไป ในที่สุด บริษัทจึงสร้างสรรค์ Non-Skid เวอร์ชันสีน้ำตาลเข้ม พร้อมขอบสีดำบริเวณรูร้อยเชือก รองเท้านี้ได้รับการตั้งชื่อรุ่นอย่างเป็นทางการว่า "All Star" ในปี 1919 ซึ่งเป็นการจุดประกายยุคใหม่แห่งนวัตกรรมรองเท้าบาสเก็ตบอลโดยเฉพาะ ชื่อนี้กลายเป็นเอกลักษณ์อันโดดเด่นของรองเท้ารุ่นนี้ในฐานะรองเท้าบาสเก็ตบอลประสิทธิภาพสูงชั้นนำตลอดครึ่งศตวรรษถัดมา

ส่วน Chuck Taylor (หรือ Charles Hollis Taylor) ผู้เป็นที่มาของชื่อรองเท้านี้ เพิ่งจะเข้ามาร่วมงานกับบริษัทในอีกไม่กี่ปีต่อมา

Chuck Taylor All Star ได้รับการสวมใส่โดยนักบาสเก็ตบอลแถวหน้าแทบทุกคนก่อนปี 1965 สมชื่อรุ่นรวมดาว ซึ่งยังรวมถึงนักกีฬาที่ลงแข่งในเวทีระดับโลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในปี 1936 เมื่อ Converse จัดหารองเท้า Chuck สีขาวที่มาพร้อมแถบสีแดงและน้ำเงินบนขอบยางให้กับทีมบาสเก็ตบอลชายของสหรัฐฯ รองเท้ารุ่นสั่งทำพิเศษนี้ฮิตติดลมบนจนทีมคู่แข่งต้องนำไปใช้ และสีสันเหล่านั้นก็ถูกเพิ่มเข้าสู่ไลน์สินค้าอย่างถาวร ในปี 1939 การแข่งขันบาสเก็ตบอลชิงแชมป์ระดับประเทศของวิทยาลัยครั้งแรกของอเมริกาก็มีผู้เล่นใส่ Chuck ลงสนาม และในปี 1962 สถิติทำคะแนนสูงสุด 100 แต้มในเกมเดียวของวงการบาสเก็ตบอลอาชีพก็เกิดขึ้นขณะสวม Chuck เช่นกัน ปี 1971 Chuck ได้เปิดตัวสีทีม ทำให้ทีมต่างๆ สามารถจับคู่ชุดแข่งกับรองเท้าได้เป็นครั้งแรก Chuck คือบาสเก็ตบอล และบาสเก็ตบอลก็คือ Chuck อย่างแท้จริง

แค็ตตาล็อกปี 1922-23 ที่เผยทุกรายละเอียดเกี่ยวกับประสิทธิภาพและวิวัฒนาการของ Converse All Star

Chuck Taylor เป็นทั้งพนักงานขายของ Converse และโค้ชผู้เล่นของทีมบาสเก็ตบอล Converse All Star ในช่วงต้นทศวรรษ 1920

Chuck Taylor ตัวจริง ขณะเป็นโค้ชในคลินิกสอนบาสเก็ตบอลยุค 1950 โดยสวมรองเท้า Chuck คู่ใจ

Converse Non-Skid All Stars ประมาณปี 1923 ซึ่งเป็นรองเท้ารุ่นต่อยอดจากการออกแบบดั้งเดิมที่เปิดตัวในปี 1917

แค็ตตาล็อกรองเท้ากีฬา Converse จากปี 1957 ซึ่งเป็นปีที่รองเท้า Chuck ทรงหุ้มส้นข้อต่ำได้ถือกำเนิดขึ้น

"เมื่อผมใส่ Chuck Taylor ก็รู้สึกมั่นใจเกินร้อย"

Howard "H" White, รองประธานและผู้ก่อตั้ง, Jordan

และแล้วนวัตกรรมที่ทำให้ Chuck เป็นรองเท้าบาสเก็ตบอลที่ยอดเยี่ยม ก็ยังส่งให้รองเท้านี้กลายเป็นรองเท้าสเก็ตบอร์ดที่โดดเด่นไม่แพ้กัน

การเล่นสเก็ตบอร์ดถือกำเนิดขึ้นกลางศตวรรษที่แคลิฟอร์เนียในชื่อ "Sidewalk Surfing" หรือการ "โต้คลื่นบนทางเท้า" ซึ่งเป็นกิจกรรมยามที่คลื่นทะเลไม่เป็นใจ รองเท้า Chuck หุ้มส้นข้อต่ำที่เปิดตัวในปี 1957 ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่ม "Beach Boys" หรือเหล่าหนุ่มชายหาดเหล่านี้ไปแล้ว และยังปรับตัวเข้ากับกีฬาแนวสตรีทแบบใหม่ได้อย่างลงตัว ด้วยคุณสมบัติเด่นทั้งการรองรับแรงกระแทกใต้ฝ่าเท้า พื้นยางที่ยึดเกาะดีเยี่ยม และส่วนบนจากผ้าใบที่โอบกระชับเท้า

กว่า 50 ปีผ่านไป Chuck ยังคงสถานะพื้นฐานอันแข็งแกร่งในวงการสเก็ตบอร์ดและอยู่คู่กับนักกีฬาชั้นนำอย่างเหนียวแน่น แม้ว่ากีฬาชนิดนี้จะก้าวจากท้องถนนไปสู่เวทีการแข่งขันระดับโลก และไปปรากฏอยู่ในพิพิธภัณฑ์ชั้นนำแล้วก็ตาม ในปี 2023 Design Museum ณ กรุงลอนดอน ได้จัดนิทรรศการ "Skateboard" ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโปรเจกต์มัลติมีเดียที่รวมถึงหนังสือ ซึ่งสร้างสรรค์ร่วมกับภัณฑารักษ์ Jonathan Olivares, Converse และ Phaidon เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์การออกแบบของสเก็ตบอร์ดในมุมมองวัฒนธรรมต่อต้านกระแสหลัก

"นักโต้คลื่นบนทางเท้า" แห่งปี 1975 ผู้มาพร้อม Chuck คู่ใจสุดชิลล์แต่เปี่ยมประสิทธิภาพ

โฆษณาสำหรับคอลเลกชัน Rad ปี 1988 ซึ่งประกอบด้วย Chuck ทรงหุ้มข้อสูงที่มีเพียงหนึ่งเดียว และเสื้อยืด

นิทรรศการ "Skateboard" ที่ Design Museum ในลอนดอน ปี 2023 ได้ตอกย้ำสถานะของ Chuck ในโลกสเก็ตบอร์ดและดีไซน์

Bryce Wettstein นักสเก็ตบอร์ดจากทีม Converse CONS เลือกใส่ Chuck ทั้งในการแข่งขันและในวันสบายๆ

"Skateboard" เจาะลึกดีไซน์ วัสดุ วัฒนธรรม และประวัติของกีฬาสเก็ตบอร์ด

สไตล์เรียบง่ายและไม่ปรุงแต่งของ Chuck ยังสะท้อนถึง DNA ของสเก็ตบอร์ดที่เป็นอิสระ เข้าถึงง่าย และใช้ชีวิตในแบบของตัวเอง ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้เองที่ทำให้ Chuck ไปอยู่ได้ทุกหนแห่ง

Tyler, the Creator ได้กล่าวไว้อย่างยอดเยี่ยมว่า: "ผมมาจากแอลเอและเติบโตมากับเหล่านักสเก็ตบอร์ด [รองเท้า Chuck Taylor] คือรองเท้าคู่หลักในวิถีชีวิตแบบนั้นเลย" Chuck ได้เชื่อมโยงโลกสเก็ตบอร์ดกับดนตรีเข้าไว้ด้วยกันในช่วงยุค 90 และต้นยุค 2000 แต่รากฐานทางดนตรีของรองเท้านี้ทอดยาวไปถึงศิลปินที่ครองชาร์ต Billboard ในยุค 50 และ 60 ดาราดังระดับโลกเหล่านั้นสวมรองเท้าดีไซน์ระดับไอคอนนี้ไปทุกที่: ตั้งแต่บนเวทีจากแคลิฟอร์เนียถึงอังกฤษ เดินข้าม Penny Lane ท่องเที่ยวตามชายหาด Hawthorne และย่างกรายไปตามถนน Haight-Ashbury

ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา Chuck ได้รับความนิยมจากศิลปินนักดนตรีมากมายจนมีรายชื่อทัดเทียมกับค่ายเพลงระดับตำนาน ครอบคลุมทุกแนวเพลง ตั้งแต่พังก์, อัลเทอร์เนทีฟ, กรันจ์ไปจนถึงฮิปฮอป, อินดี้ร็อก และป๊อป รองเท้านี้ยังตอกย้ำสถานะในสตูดิโออัดเสียง บนปกอัลบั้ม และในเทศกาลดนตรีระดับโลก แม้กระทั่งแทรกซึมเข้าไปในหอแสดงดนตรีคลาสสิกด้วยซ้ำ ในปี 2018 เมื่อวาทยกร Jonathon Heyward ลืมรองเท้าทางการสำหรับแสดงออร์เคสตรา เขาสวม Chuck สีแดงขึ้นเวที ซึ่งเกือบจะโดดเด่นกว่าการแสดงคอนเสิร์ตเสียอีก "การได้สัมผัสความรู้สึกเชื่อมโยงกับดนตรีคลาสสิกเป็นสิ่งที่ผมหลงใหลอย่างมาก และ Chuck Taylor เป็นผู้ทลายกำแพงที่ยอดเยี่ยม” Heyward ซึ่งเป็นผู้อำนวยการด้านดนตรีและฝ่ายศิลป์ของ Festival Orchestra of Lincoln Center และผู้อำนวยการด้านดนตรีของ Baltimore Symphony Orchestra กล่าว "เพียงแค่ผมสวม Chuck Taylor ไปคอนเสิร์ต ผมก็รู้สึกเข้าถึงง่ายขึ้น และผู้คนก็เปิดใจมากขึ้นเมื่อมีความรู้สึกเชื่อมโยงกัน กำแพงต่างๆ ก็พังทลายลง และผมก็สามารถพาพวกเขาไปสู่การเดินทาง ซึ่งนั่นแหละคือแก่นแท้ของดนตรีคลาสสิกและการแสดงดนตรีคลาสสิกสด”

ในฐานะผู้บุกเบิกเทรนด์ทางวัฒนธรรมของอเมริกาช่วงกลางศตวรรษที่ 20 Chuck จะมองข้ามเรื่องสีสันไปไม่ได้เลย แม้ตอนแรกจะเปิดตัวด้วยเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับบาสเก็ตบอลเป็นหลัก แต่สีสันอันหลากหลายราวสายรุ้งก็ยังสร้างปรากฏการณ์ด้วยการทลายกำแพงแห่งสีผิวทั้งในสนามและนอกสนาม เชิดชูความหลากหลาย และสนับสนุนการแสดงออกถึงตัวตนในทุกพื้นที่

จากโทนสีพื้นฐานสู่ลวดลายพิมพ์และโมทีฟที่ไร้ขีดจำกัด โดยในยุค 80 ได้เปิดตัวลายพราง ลายสัตว์ และลายกลิตเตอร์ พร้อมกับลายตารางหมากรุก ลายเส้น และลายเรืองแสงในที่มืด วัสดุใหม่ ความสูง รูปทรงใหม่ๆ ก็ตามมา พลิกโฉม Chuck จากสัญลักษณ์ของกลุ่มวัฒนธรรมย่อยเฉพาะกลุ่ม ให้กลายเป็น "เครื่องหมายแห่งการแสดงออกเฉพาะบุคคล" สำหรับผู้ที่มีความเป็นตัวของตัวเองมากพอที่จะไม่เดินตามใคร และสำหรับผู้ที่เข้ามาจับมือร่วมงานกับแบรนด์ที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง

"Chuck คือทั้งไอคอน และเวทีสำหรับความคิดสร้างสรรค์ในคราวเดียวกัน"

Jonathan Olivares, นักออกแบบอุตสาหกรรมและนักเขียน

ทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1934 กับ Disney ซึ่งเป็นพันธมิตรแบรนด์แรกของ Converse ที่ทำให้ Chuck เป็นรองเท้าคู่แรกที่มาพร้อมลาย Mickey Mouse แม้จะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ แต่การร่วมมือกับแบรนด์อื่นก็ยังไม่กลายเป็นหัวใจหลักของ Chuck จนกระทั่งช่วงปลายทศวรรษ 2000 ในปี 2008 คอลเลกชัน Converse 1HUND(RED) Artists ได้มอบหมายงานให้ศิลปิน 100 คนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นนักดนตรี กราฟิกดีไซเนอร์ หรือศิลปินกราฟฟิตี ได้ใช้รองเท้า Chuck เป็นผืนผ้าใบเพื่อแสดงออกถึงการสนับสนุนการต่อสู้กับโรคเอดส์ ซึ่งเป็นการเสริมพลังให้ชุมชนเพื่อจุดประสงค์ที่ดี และปลดปล่อยพลังสร้างสรรค์ออกมาอย่างล้นหลาม การร่วมสร้างสรรค์ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง รวมถึงผลงานอันเป็นเอกลักษณ์จากพันธมิตรที่ยาวนานที่สุดของแบรนด์อย่าง Comme des Garçons (CDG) PLAY

Converse จับมือ Disney ในปี 1934 สร้างนิยามให้ Chuck เป็นรองเท้าคู่แรกที่มาพร้อมลาย Mickey Mouse

ปี 1977 Chuck Taylor All Stars วางจำหน่ายในหลากหลายเฉดสี ดังที่แค็ตตาล็อก Athletic Footwear เล่มนี้เผยให้เห็น

รองเท้า Chuck ที่จำลองมาจากของ Andy Warhol จัดแสดงในนิทรรศการ "Andy Warhol: Social Disease" ที่ Dover Street Market ปี 2024

โคมไฟระย้าดีไซน์พิเศษที่ใช้รองเท้า Chuck สีดำมาประกอบ ภาพถ่ายโดย Ryan Stifler

ปี 2015 Chuck 70 ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมงานกันในคอลเลกชัน Converse x PLAY Comme des Garçons

Chuck 70 De Luxe Squared ปี 2024 เพิ่มความหรูหราให้ Chuck ด้วยคริสตัล Swarovski

ความนิยมที่พุ่งทะยานและคงอยู่เสมอมาของความร่วมมือระหว่าง Converse x PLAY Comme des Garçons ได้ยืนยันสิ่งที่ชัดเจนมานานหลายทศวรรษว่า Chuck สามารถเข้าไปอยู่ในโลกแฟชั่นระดับไฮเอนด์ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งบรรดาวิสัยทัศน์ชั้นนำของวงการแฟชั่นต่างก็เติบโตมาพร้อมกับรองเท้าคู่นี้ ได้รับอิทธิพลจากปรัชญาการต่อต้านการตามกระแส และสไตล์ที่ปรับแต่งได้ อย่างที่ Rick Owens ดีไซเนอร์ชื่อดังกล่าวไว้ว่า "เมื่อผมคิดถึง Converse ผมจะนึกถึง Chuck Taylor สีขาวดำ และคนยุคพังก์ร็อก สิ่งเหล่านี้เป็นเสาหลักแห่งสุนทรียภาพของผมมาโดยตลอด"

เมื่อเข้าสู่ยุค 2000 และสื่อดิจิทัลเข้ามาช่วยให้ทุกคนเข้าถึงโลกแฟชั่นได้ง่ายขึ้น Chuck ก็ตอกย้ำสถานะของตัวเองในโลกที่ครั้งหนึ่งเคยพิเศษเฉพาะกลุ่ม แต่เปี่ยมด้วยวิสัยทัศน์ที่เปิดกว้างนี้ รองเท้านี้ได้ปรากฏบนรันเวย์ทั้งในรูปแบบดั้งเดิมและแบบสั่งทำพิเศษ พร้อมๆ กับที่ไปปรากฏอยู่ตามหน้าหนังสือนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ และภาพสตรีทสไตล์จากการเดินแฟชั่นวีกทั่วโลก

ในปี 2021 Rick Owens ได้พลิกโฉม Chuck 70 ให้กลายเป็น TURBODRK Chuck 70 ภาพโดย OWENSCORP

Marc Jacobs สร้างสรรค์ลุคอันเป็นเอกลักษณ์ให้เหล่านางแบบด้วยรองเท้า Chuck ในคอลเลกชัน Perry Ellis “Grunge” ปี 1992

Lila Moss ในลุคสนีกเกอร์ Converse x Isabel Marant Chuck 70 Ox ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคอลเลกชันพิเศษที่ร่วมมือกันประจำปี 2025

บูท Converse Made in Maine ปี 2012 ได้นำ Chuck มาตีความใหม่ เพื่อรำลึกถึงตำนานทรงคุณค่าของแบรนด์ในอเมริกา

Shai Gilgeous-Alexander อวดโฉมในรองเท้า Chucks ระหว่าง NBA Tunnel Walk ปี 2025

Converse x Feng Chen Wang 2-in-1 Chuck 70 ได้รับแรงบันดาลใจจากมรดกทางวัฒนธรรมจีนของดีไซเนอร์

"ในการพูดคุยครั้งแรกกับทีม Converse ไอเดียที่จะพลิกโฉมรองเท้าผ้าใบ Converse ส้นตึกจึงเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ สมัยเด็ก ฉันเคยเอาก้อนไม้ก๊อกไปใส่ไว้ในรองเท้า Chuck ของตัวเอง ซึ่งเจ้าไม้ก๊อกนี่ล่ะที่ช่วยให้ฉันดูสูงขึ้น"

Isabel Marant, แฟชั่นดีไซเนอร์

Chuck ได้ถักทอตัวเองเข้ากับผืนผ้าของวัฒนธรรมระดับโลกอย่างลึกซึ้ง และยังได้เป็นพยานในเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์มากมาย เคียงข้างผู้สร้างประวัติศาสตร์ที่หลากหลาย และฝังรากลึกอยู่ในภูมิทัศน์ทางสังคมในวงกว้าง

นักเต้นซูลูในชุดพื้นเมืองโชว์ลีลาสุดพลิ้วในรองเท้า Chuck คู่ใจ ในปี 2015 ณ Soweto Township, โจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้

Chuck โลดแล่นอยู่บนกำแพงเบอร์ลินในโฆษณาแคมเปญ "All You Need" ของ Converse ในปี 1990

Chuck ถูกเก็บรักษาไว้อย่างพิถีพิถันในขวดโหลแตงกวาดองใน Beyoğlu ประเทศตุรกี ภาพโดย Aytekin Gezici

Converse ตอกย้ำการสนับสนุนการแสดงออกถึงตัวตนอย่างต่อเนื่องในงาน 2024 Boston Pride Parade

ภาพ Chuck ในงาน The Town Festival ที่เซาเปาโล ประเทศบราซิลในปี 2023 ภาพโดย Cauê Paciornik

จากวิวัฒนาการที่ไม่มีที่สิ้นสุด Chuck อาจกล่าวได้ว่าเป็นสนีกเกอร์ที่ได้รับการปรับแต่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ รองเท้าได้รับการเพนต์แบบสาดสีและขีดเขียนด้วยปากกาชาร์ปี ตกแต่งด้วยป้าย เข็มกลัด และหมุด ลายปักและครอสติช แม้กระทั่งกลับด้านชิ้นส่วน การแสดงออกถึงตัวตนแต่ละครั้งสะท้อนถึงความคิดสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของผู้สร้างอย่างแท้จริง เฉกเช่นลายนิ้วมือ ดังที่ Rocco Montagnoli Bruzzone แห่ง Converse All Star ยืนยันว่า "Chuck ช่วยให้ผมได้แสดงออกถึงตัวตนและความเป็นปัจเจกบุคคลมาตั้งแต่เด็ก ตอนที่เคยสเก็ตช์ภาพลงบนรองเท้า มาถึงตอนนี้เป็นผู้ใหญ่แล้วถึงได้ใส่ Chuck คู่สะอาดเอี่ยมไปประชุม"

"รองเท้ารุ่นนี้อยู่เคียงข้างผมในทุกบทของชีวิต"

Denise Stephanie Hewitt, Converse All Star

แบรนด์ได้เล็งเห็นถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นที่รองเท้า Chucks แต่ละคู่สร้างขึ้นกับผู้สวมใส่ จึงเริ่มนำเสนอรองเท้าลิมิเต็ดเอดิชัน ตั้งแต่ปี 1988 ผ่านแค็ตตาล็อกสั่งซื้อทางไปรษณีย์ ต่อมาคือคอลเลกชัน Chuck ที่เน้นความเป็นท้องถิ่นอย่างแท้จริง เช่น คอลเลกชันตรุษจีน และ City Packs ซึ่งมักเกิดจากการร่วมมือกับครีเอเตอร์ในพื้นที่ ดีไซน์พิเศษเฉพาะเมืองเหล่านี้ได้ถักทอเอาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมอันโดดเด่นของแต่ละท้องถิ่นลงบนรูปทรงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Chuck อย่างลงตัว ในปี 2015 Converse ได้พัฒนาแพลตฟอร์มการปรับแต่งเฉพาะบุคคลให้ก้าวหน้าไปอีกขั้น ด้วยการเปิดตัว Converse By You โปรแกรมออกแบบดิจิทัลที่สร้างสถิติใหม่ในปี 2024 ด้วยโปรเจกต์ Converse By You x Billie Eilish ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อเชื่อมโยงเหล่าครีเอเตอร์ให้ใกล้ชิดกับ Chuck ของพวกเขามากยิ่งขึ้น

และเส้นทางแห่งตำนานนี้ มาไกลครบศตวรรษแรกแล้ว

Chuck คู่ใจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวและเต็มไปด้วยความทรงจำ

  • เรื่องราว
  • ภารกิจ
  • บริษัท
  • ห้องข่าว
      • © 2025 NIKE, Inc. สงวนลิขสิทธิ์