สร้างความเหนือจริง: Nike สร้างรองเท้า Air สุดเจ๋งเท่าที่เคยมีขึ้นมาอย่างไร
- 11/4/2567

บนชั้นสองของตึก LeBron James Innovation ในเมืองบีเวอร์ตัน รัฐโอเรกอน เหล่าดีไซเนอร์ของ Nike รวมตัวกันรอบโต๊ะตัวหนึ่งเพื่อศึกษาโปรโตไทป์ต้นแบบของรองเท้าพิมพ์ 3 มิติที่จะสร้างให้เท้าไซส์ 21 ของ Victor Wembanyama
รองเท้าคู่นี้มีรูปลักษณ์อันน่าเหลือเชื่อเหมือนเจ้าของรองเท้าที่เล่นตำแหน่งฟอร์เวิร์ดและสูง 2.24 เมตร ส่วนบนมีลวดลายเรขาคณิตคล้ายสมองมนุษย์ที่เรียงกันอย่างเบียดเสียด ซึ่งได้ไอเดียมาจากคริสตัลบิสมัทที่ Wembanyama สวมห้อยคอในคืนของการดราฟต์ช่วงปลายฤดูร้อน ช่วงเวลาที่เขาได้รับเลือกเป็นอันดับที่ 1 ในลีก ตลอดส่วนกลางเท้าฝั่งข้างเท้าด้านในยาวลงมาถึงพื้นรองเท้าชั้นนอก มีส่วน Nike Air รูปร่างคล้ายรอยแตกซึ่งไม่เคยใช้ในรองเท้าบาสเก็ตบอลคู่ไหนมาก่อน ราวกับเป็นรอยแตกของดาวหางที่พุ่งชนโลก ส่วน Air ในรองเท้าคู่นี้ไม่เพียงใช้ช่วยลดแรงกระแทกใต้ฝ่าเท้า แต่ยังเป็นมิตรกับเท้าของ Wembanyama ที่มักจะใช้ท่าเคลื่อนไหวด้านข้างอันแหลมคมระหว่างการเล่น ทุกองค์ประกอบของตัวต้นแบบเต็มไปด้วยความแหวกขนบเช่นเดียวกับนักกีฬาที่เป็นเจ้าของ ไม่เคยมีการสร้างผลงานชิ้นไหนคล้ายกับผลงานชิ้นนี้มาก่อน แต่ก็ยังมีส่วนที่ต้องปรับปรุงอยู่ และรอไม่ได้
คนในทีมดีไซน์ต่างแลกเปลี่ยนความเห็นกันอย่างลงลึกต่อโปรโตไทป์ชิ้นใหญ่นี้ ซึ่งลงพื้นด้วยสี Sail แล้วเติมรายละเอียดเป็นจุดๆ ด้วยสีเอกลักษณ์ของ Nike อย่าง Total Orange บนตำแหน่งของส่วน Air ทางดีไซเนอร์อยากเน้นส่วน Air ด้วยเกรเดียนสีที่เข้มขึ้นเพื่อไฮไลต์ส่วนเท็กซ์เจอร์ที่มีลักษณะคล้ายเม็ดอัญมณีด้านในสีส้ม บางคนก็สังเกตเห็นว่าดอกยางบนพื้นรองเท้าของตัวต้นแบบนี้มีความลึกน้อยเกินไป ส่วนดรอปชาโดวที่เป็นเงาเหนือเท็กซ์เจอร์ก็ไม่ค่อยสมจริงนัก
"เราจะปริ้นต์ส่วน Air เวอร์ชันใหม่นี้ออกมาได้ไหม" หนึ่งในดีไซเนอร์ถาม "แล้วดอกยางนี่จะลึกกว่านี้อีกได้ไหม" มี Project Manager คนหนึ่งคอยจดบันทึกความเห็นต่างๆ ก่อนจะวิ่งข้ามโถงทางเดินไปถึงศูนย์ Concept Creation Center เพื่อใส่รายการปรับปรุงนี้ลงในปริ้นเตอร์ 3D เครื่องใหญ่ เสียงจอแจจากเซสชันรีวิวดีไซน์รองเท้าอีก 12 แห่งดังฮึมฮัมจากห้องโอ่โถงที่อยู่ด้านหลังเขา ในห้องนี้รายล้อมไปด้วยมู้ดบอร์ดแผ่นยักษ์ 13 แผ่น แต่ละแผ่นแสดงผลงานต้นแบบของนักกีฬาแต่ละคน โดยมีทั้งภาพเรนเดอร์แบบดิจิทัล ภาพสเก็ตช์ และตัวอย่างวัสดุกระจายอยู่ตรงนั้นตรงนี้ทั่วแผ่นบอร์ดสูง 8 ฟุตนี้
"ผลลัพธ์ที่เราหวังจากโปรเจ็คต์นี้คือความรู้สึกของศักยภาพที่ไร้ขีดจำกัด"
John Hoke, Nike, Chief Innovation Officer
สตูดิโอดีไซน์ที่อยู่ในตึก LeBron James Innovation คือที่ที่เป็นแหล่งฟักไข่ให้ A.I.R. หรือ Athlete Imagined Revolution กระบวนการสร้างสรรค์ร่วมแบบใหม่ระหว่างทีมดีไซน์เนอร์และนวัตกรของ Nike กับนักกีฬาชั้นนำของแบรนด์ 13 คน ตั้งแต่ Wembanyama ไปจนถึง Sha’Carri Richardson และ Kylian Mbappé กระบวนการที่เรียกว่า A.I.R. นี้จะนำทั้งนักกีฬาที่เก่งที่สุดในโลก นวัตกร Nike และเทคโนโลยีสุดล้ำมารวมเข้าในที่เดียวกัน แล้วเสริมประสิทธิภาพด้วย AI เพื่อร่วมกันสรรสร้างอนาคตของ Air
จนถึงตอนนี้อาจจะยังไม่มีโปรเจกต์ไหนในประวัติศาสตร์ของ Nike ที่รวบรวมบุคลากรยุคใหม่จำนวนมากขนาดนี้เพื่อมาสร้างกระบวนการทำงานรูปแบบใหม่ที่ประกอบด้วยดีไซน์ นักกีฬา และเทคโนโลยี การเริ่มต้นจาก Nike Air คือทางเลือกที่ถูกต้อง เพราะความสวยงามของ Air คือสามารถเปลี่ยนรูปร่างได้ไม่มีที่สิ้นสุด เป็นกระบวนการต่อยอดที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและไม่มีจุดจบ และในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ไอเดียสุดพิศดารมากมายในการสร้าง Air ไม่ได้อยู่แค่ในจินตนาการอีกต่อไป และขณะที่โลกเตรียมตัวเข้าสู่กรุงปารีส ไม่มีโอกาสไหนอีกแล้วสำหรับ Nike ที่จะฉายภาพพรมแดนใหม่ของ Air พร้อมจับมือกับเหล่านักกีฬาเพื่อปลดปล่อยจินตนาการสุดบรรเจิดออกมา
"จะทำให้ตัวต้นแบบประสบความสำเร็จ มันจะต้องปลุกเร้าอารมณ์ได้" John Hoke, Nike, Chief Innovation Officer กล่าว "มันต้องดึงเอาอารมณ์ความน่าอัศจรรย์ใจออกมาเมื่อได้เห็นสิ่งที่อยู่เลยขอบฟ้าออกไป นั่นคือความหวังและความฝันต่ออนาคต สิ่งที่ผมหวังจะให้เกิดจากโปรเจกต์นี้คือความรู้สึกถึงศักยภาพที่ไม่มีขีดจำกัด เทคโนโลยี Nike Air เพิ่งมีอายุเกือบ 50 ปีเท่านั้น เราเพิ่งมาถึงจุดที่ค้นพบวิธีควบคุมศักยภาพของ Air อย่างเต็มรูปแบบ และรองเท้ารุ่นต้นแบบของเรานี้บอกว่ายังอีกไกลกว่าจะถึงปลายทาง"
เทคนิคการดีไซน์ A.I.R. ที่ใช้ในตึกหลังนี้ ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องการเป็นศูนย์กลางการสร้างสรรค์ผลงานขั้นสูงแห่ง Nike World Headquarter ใช้พลังการคำนวณของคอมพิวเตอร์อย่างเต็มขีดจำกัด ขีดความสามารถของการผลิตขั้นสูงสุด และฝีมือขั้นสุดของมนุษย์ในการสร้างสรรค์ผลงาน ตัวโปรโตไทป์นี้จะโชว์ความเป็นไปได้ของพลังจินตนาการเพื่อสร้าง Nike Air โดยยังตั้งหลักอยู่บนความจริงที่ว่า โลกใบนี้คือที่ที่ให้นักกีฬาแสดงความสามารถและแข่งขัน
A.I.R. ได้ขีดเขียนนิยามใหม่ของงานฝีมือจาก Nike นำความเชี่ยวชาญจากทาเลนต์ตัวท็อปด้านครีเอทีฟมารวมกับเครื่องมือดีไซน์ที่มีวิทยาการก้าวหน้าสูงสุด เพื่อมอบประสิทธิภาพแก่นักกีฬาในระดับที่ไม่เคยไปถึงมาก่อน

ตัวอย่างเล็กๆ จากคอนเซปต์นับร้อยที่สร้างโดยเครื่องมือเจเนอเรทีฟหลากหลายชิ้น ทั้งหมดในช่วงบ่ายของวันเดียว
นวัตกร Nike เริ่มต้นโดยแบ่งกลุ่มเป็นทีมดีไซน์หลายทีมตามนักกีฬา Nike 13 คนจากกีฬา 4 ชนิด ได้แก่ กรีฑา ฟุตบอล บาสเก็ตบอล และเทนนิส ขั้นตอนแรกก็เหมือนทุกๆ กระบวนการของ Nike นั่นคือการฟังเสียงของนักกีฬา แต่ละทีมเตรียมลิสต์คำถามเข้าหานักกีฬาจากแต่ละชนิด เพื่อค้นหาดีไซน์รองเท้าที่แต่ละคนต้องการมากที่สุด ไม่ว่าจะต้องการดีไซน์แบบเดิมหรือแปลกใหม่ ต้องการดีไซน์แบบองค์รวมหรือดีไซน์แบบเจาะจงตามปัจเจกบุคคล ต้องการดีไซน์ที่มาแบบชิ้นเดียวหรือประกอบจากชิ้นส่วนหลายชิ้น และก็มีคำถามอื่นๆ ที่สอบถามชีวิตพื้นเพของนักกีฬา ไม่ว่าจะเป็นผู้คน สถานที่ หรือสิ่งใดๆ ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจ รองเท้าสะท้อนการใช้งานจริงของนักกีฬาอย่างไร บุคลิก สไตล์การเล่น ลักษณะร่างกายของนักกีฬาเป็นอย่างไร ทุกอย่างที่ถามได้ ไม่มีการขีดเส้นในระหว่างเซสชันการรับฟังความเห็นนี้
การถามจนเห็นภาพที่จับต้องได้จะทำให้เข้าถึง "ความจริงของนักกีฬา" Roger Chen, Nike VP, NXT, Digital Product Creation กล่าว ซึ่งหมายถึงการเข้าใจในดีไซน์แทบทุกแง่มุมจนช่วยให้นักกีฬาสามารถคิด รู้สึก และแสดงออกได้ดีที่สุด Chen กล่าวว่าเฟสนี้ทำหน้าที่เป็นรากฐานสำคัญที่จะกำหนดกระบวนการดีไซน์ทั้งหมด เมื่อสปรินเตอร์เตรียมออกตัวในระยะ 100 เมตรด้วยความรู้สึกที่มั่นใจจากก้นบึ้งว่าองค์ประกอบทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่รองเท้าพื้นตะปูที่กำลังสวม กำลังจะพาเธอไปสู่ชัยชนะ นี่แหละ คือความจริงของนักกีฬา เขากล่าว และมันคือหน่วยข้อมูล (Data Point) ที่ไม่สามารถวัดเชิงปริมาณได้ จำเป็นต้องอาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจอย่างสูงจากทั้งสองฝ่าย
"การได้มาซึ่งความจริงของนักกีฬาต้องอาศัยความสัมพันธ์แบบไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ" Chen กล่าว "คุณต้องรู้ว่ากำลังดูแลใครอยู่ ที่ Nike ทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับว่าเรารู้จักนักกีฬาของตัวเองมากแค่ไหน"
ดีไซเนอร์ที่รวบรวมคำตอบจากนักกีฬามาได้จะป้อนข้อมูลดังกล่าวผ่านการป้อนคำสั่ง AI อย่างละเอียดด้วยกระบวนการทำซ้ำ (Iterative) เพื่อปรับแต่งไอเดียให้สมบูรณ์ ซึ่งหลังจากป้อนคำสั่งเข้าสู่ระบบแล้ว ผลลัพธ์ (Output) ที่ออกมาเป็นที่น่าประทับใจมาก ตัวอย่างนับร้อยที่ AI สร้างออกมาเป็นภาพให้นักกีฬาแต่ละคน ทั้งหมดถูกสร้างในเวลาอันสั้นและให้มุมมองน่าสนใจมากมายแก่ดีไซเนอร์ Nike เพื่อนำมาสร้างเป็นผลงานต้นแบบ 13 ชิ้นในขั้นไฟนอล
สำหรับ Chen และคนในทีม ผลลัพธ์ที่สร้างโดย AI กลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยเพิ่มความเข้าใจในตัวนักกีฬาได้รวดเร็วขึ้นและในทิศทางที่เจาะจงมากขึ้น
"AI เพิ่มประสิทธิภาพให้กระบวนการครีเอทีฟของเรามากขึ้นแบบทวีคูณ" Chen กล่าว "จุดตั้งต้นพวกนี้ปกติใช้เวลาเป็นเดือน แต่ตอนนี้สามารถทำเสร็จในเวลาไม่กี่วินาที เรามอง AI เป็นเหมือนดินสอที่ฉลาดและแหลมคมขึ้น คนกำกับดูแลยังคงเป็นทีมดีไซเนอร์ สิ่งที่ทำร่วมกับดินสอแท่งนี้ต่างหากที่สร้างความมหัศจรรย์ขึ้นมา เราป้อนข้อมูลมหาศาลลงในโปรแกรมเจเนอเรทีฟพวกนี้เพื่อให้มันสะท้อนผลกลับมาซึ่งมันก็ทำให้ตามนั้น แต่ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้หากขาดการรับฟังความเห็นแบบทุกซอกทุกมุมที่ทีมของเราทำกับนักกีฬา
หลังจากได้ภาพ AI หลายร้อยภาพมาเก็บในคลังแล้ว ทีมก็วางดินสออัจฉริยะแท่งนี้แล้วเริ่มทำสิ่งที่ตัวเองถนัดที่สุด นั่นคือ ออกแบบงานให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของสุดยอดนักกีฬาแต่ละคน ทั้ง 13 ทีมใช้รูปแบบ ผิวสัมผัส ตัวเลขที่คำนวณได้ ไปจนถึงข้อมูลภาพ AI จำนวนมหาศาล มาเป็นแนวทางในการสร้างคอนเซปต์รองเท้าสุดบรรเจิด 3 แบบที่ถ่ายทอดรูปลักษณ์ใหม่ของ Air ออกมา ซึ่งเรื่องนี้พูดง่ายกว่าทำ มีบางครั้งที่ดีไซเนอร์ต้องเจอกับอคติทางอัลกอริทึมของ AI (Algorithm Bias) และต้องหาทางปรับแก้เพื่อสร้างคอนเซปต์เกี่ยวกับ Air ที่ไม่ก่อให้เกิดการแบ่งแยก
"เราสังเกตว่ามีภาพจาก AI จำนวนมากที่ตีความ Air ออกมาในลักษณะที่ลื่นไหลสวยงามใกล้เคียงกัน" Chen กล่าว "โปรแกรมมักจะตีความ Air ออกมาในเชิงที่เป็นธรรมชาติหรือมีความลื่นไหล ซึ่งเรามองหาไอเดียที่ดันให้แต่ละคอนเซปต์ไปในทิศทางเฉพาะของแต่ละอัน"
หลังจากทีมดีไซเนอร์ได้ข้อสรุปของทั้ง 3 คอนเซปต์แล้ว ก็มาถึงช่วงประเมินผลตอบรับครั้งสุดท้ายโดยกลุ่มนักกีฬา รายละเอียดของคอนเซปต์ทุกอย่างจะถูกยกมาพูดคุย ไม่ว่าคุณสมบัติที่นักกีฬาสนใจจะเป็นเหตุผลด้านความสวยงาม การใช้งาน หรือรูปลักษณ์ก็ตาม
Chen ย้อนนึกถึงเซสชันช่วงแรกที่ทีมได้ Eliud Kipchoge ในฐานะนักมาราธอนมาเป็นผู้ออกความเห็นต่อคอนเซปต์ช่วงเริ่มต้น รองเท้ามีส้นที่ถูกคว้านเนื้อออกและตัดขอบให้เอียงที่ส่วนท้ายจนคล้ายกับสปริงคาร์บอนที่อยู่บนรองเท้าวิ่งแข่งพื้นแบน ในทางทฤษฎี ดีไซน์แบบแอโรไดนามิกดูจะเป็นทางเลือกผ่านฉลุย
แต่หลังจาก Kipchoge ศึกษาเรื่องการเรนเดอร์ภาพแบบดิจิทัลเงียบๆ เขาก็เริ่มหยิบสมุดโน้ตออกมาแล้วร่างแบบของตัวเองขึ้นมา
Kipchoge วาดคอนเซปต์เวอร์ชันหนึ่งออกมาด้วยตัวเองแต่ใส่ลูกเล่นเข้าไปเพิ่ม เขาขอทีมให้นำส่วนที่เจาะโพรงไปเชื่อมกับส้น โดยให้เหตุผลว่าเศษกรวดดินจากทางขรุขระของเทรลจะเข้าไปติดในพื้นรองเท้าที่รูปร่างคล้ายสปริงในระหว่างวิ่ง Chen กล่าว "เขาเห็นปัญหาจากการทำงานของรองเท้าในสภาพแวดล้อมที่ใช้ซ้อมวิ่ง ซึ่งเป็นมุมที่เราไม่เคยพิจารณามาก่อน"
ดีไซน์อันล้ำนวัตกรรมจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เล่นทุกคน ทั้งดีไซเนอร์ นักกีฬา และ AI สามารถตั้งคำถามจากมุมที่ไม่เคยมองมาก่อนได้ เมื่อ Chen และทีมดีไซน์ได้ฟังความเห็นจากแชมป์นักวิ่ง 100 เมตรอย่าง Sha’Carri Richardson เกี่ยวกับคอนเซปต์ของเธอ คำที่เธอใช้อธิบายดีไซน์และทุกคนให้ความสนใจคือคำว่า "สง่างาม"
"เวลานึกถึง Sha’Carri คุณจะนึกถึงความแข็งแรง พลัง และเจตจำนงค์ที่มุ่งมั่น" Chen กล่าว แต่เมื่อทีมดีไซน์ได้คุยถึงเรื่องคอนเซปต์กับ Sha’Carri เธอกลับบอกทีมว่าไม่อยากได้พื้นตะปูที่หน้าตาเหมือนรองเท้าแตะใส่แข่งได้ "ความฝันของเธอคืออยากได้รองเท้าที่มีความเป็นหนึ่งเดียว สามารถทำงานสอดประสานได้ดีกับโครงสร้างแผ่นรองของรองเท้าพื้นตะปู เราจึงโฟกัสไปที่ส่วนใต้ฝ่าเท้าซึ่งผสานกับส่วนบนเป็นเนื้อเดียวกันอย่างสวยงามและยาวขึ้นไปถึงสนับแข้ง" Chen กล่าว "ถือเป็นตัวอย่างที่ดีว่านักกีฬาของเรามีลักษณะเฉพาะตัวมากแค่ไหนในคนคนเดียว และเราก็อยากให้โปรโตไทป์ของเรามีแบบเดียวกัน"
"ความสวยงามของโปรเจกต์นี้คือการได้เห็นคนที่มีความคิดหลากหลายมารวมตัวสร้างอะไรบางอย่างร่วมกัน... เป็นแนวทางของ Nike ในการรวมพนักงานจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา"
Roger Chen, Nike VP, NXT, Digital Product Creation
เมื่อดีไซเนอร์ได้รับฟีดแบ็กจากนักกีฬาแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือทำให้กลายเป็นจริง ทีมเริ่มทำงานที่ต้องใช้ความพิถีพิถันอย่างการสร้างต้นแบบโดยอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะสาย ซึ่งเป็นเซนส์ที่คนในทีมเรียกว่า "การอ่านด้วยสัญชาตญาณ"
ไอเดียหลายๆ อย่างที่คิดค้นผ่านโปรแกรม AI แหวกแนวจนน่าขำไปเลย ถ้าเปลี่ยนไอเดียพวกนั้นเป็นโปรโตไทป์ รองเท้าคงไม่มีทางทนการแข่งเทนนิสไบนฮาร์ดคอร์ทร้อนๆ ที่เมลเบิร์นได้ยาวนานถึง 3 ชั่วโมง หรือทนการแข่ง NBA แบบเต็มคอร์ทที่ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดของร่างกายเพื่อเคลื่อนไหวในทุกทิศทางได้ สิ่งนี้ลักษณะคล้ายรองเท้าบาสเก็ตบอลหรือเปล่า? เป็นหน้าที่ของดีไซเนอร์ที่ต้องตั้งคำถาม ถ้าไม่คล้ายงั้นทำไมถึงเป็นแบบนั้น? ในทางตรงกันข้าม โปรโตไทป์ที่ประสบความสำเร็จ สัมผัสได้ถึงศักยภาพที่จะกลายเป็นสินค้าเสริมประสิทธิภาพของจริงได้ ก็ทำให้ทีมต้องถามตัวเองว่า ถ้าจริงทำไมมันถึงเป็นแบบนั้นได้? ข้อมูลที่เก็บได้จาก A.I.R. มีข้อมูลไหนที่สักวันอาจช่วยพัฒนาสินค้าในอนาคตได้? และเพื่อหาคำตอบเหล่านี้ ทีมจึงได้ศึกษาเครื่องมือขั้นสูงทุกชิ้นที่ Nike มีเก็บไว้สำหรับสร้างผลงานต้นแบบ เช่น การสเก็ตช์ 3D จำลอง การออกแบบเชิงคอมพิวเตอร์ การพิมพ์ 3D และการจำลองสถานการณ์ ควบคู่ไปกับการใช้วิธีแบบดั้งเดิมอย่างแฮนด์สเก็ตช์
ดูนักพาราลิมปิกและนักเทนนิสอย่าง Diede de Groot เป็นตัวอย่าง Diede ต้องการให้เท้าล็อคแน่นกับวีลแชร์ และรองเท้าจะต้องไม่มากวนใจขณะแข่ง ทีมของเราไม่อาจใช้ Air ช่วยลดแรงกระแทกใต้ฝ่าเท้าในรูปแบบปกติได้ แต่ถึงอย่างไรรูปลักษณ์ของ Air ก็ยังต้องสะท้อนวิสัยทัศน์ของเธอออกมาให้ได้ ซึ่งทางออกคือการออกแบบรองเท้าให้สามารถล็อคติดกับวีลแชร์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย ในลักษณะคล้ายรองเท้าปั่นจักรยาน แล้วใช้ Air กับส่วนบนเพื่อให้ความกระชับอย่างที่เธอต้องการ เครื่องมือทางดิจิทัลอย่างการจำลองสถานการณ์ ก็ทำให้ดีไซเนอร์สามารถทดสอบการรองรับ ความกระชับ และความทนทานของรองเท้า de Groot ในทางคอมพิวเตอร์ได้ก่อนที่จะพิมพ์ตัวต้นแบบจริงๆ ออกมา
"ความสวยงามของโปรเจกต์นี้คือการได้เห็นคนที่มีความคิดหลากหลายมารวมตัวสร้างอะไรบางอย่างร่วมกัน ใช้เทคนิคและเทคโนโลยีหลายๆ แบบมาต่อยอดซึ่งกันและกัน" Chen กล่าว "เราเรียนรู้จากกันและกันอยู่เสมอ เป็นแนวทางของ Nike ในการรวมพนักงานจากภาคส่วนต่างๆ เพื่อสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมา"
Nike มีพลังการผลิตที่ทำให้ทีมสามารถสร้างส่วนประกอบจริงๆ ออกมาได้อย่างรวดเร็วเพื่อใช้ในการประเมินดีไซน์รูปแบบต่างๆ ด้วยตัวเองแบบเรียลไทม์ นี่คือเวลาที่เราได้เห็นโรงงาน Nike ทำงานด้วยพลังเต็มลูกสูบ ตั้งแต่เครื่องพิมพ์ 3D ใน Concept Creation Center ที่สามารถพิมพ์ชิ้นงานออกมาได้อย่างรวดเร็วเพื่อช่วยพิสูจน์ดีไซน์ที่อยู่ในทฤษฎี ไปจนถึงแมชชีนอย่าง Nike Air MI ซึ่งตั้งอยู่ในอาคาร 1.6 กิโลเมตรจากสำนักงานใหญ่และสามารถขึ้นรูปส่วน Air ที่นักกีฬาเป็นคนเสนอให้ออกมามีรูปลักษณ์ที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน
เป็นกระบวนการผลิตที่เพิ่มประโยชน์อีกข้อให้กระบวนการดีไซน์ นั่นคือ ทำให้มองเห็นตำหนิเล็กๆ ในชิ้นงานของจริงซึ่งสามารถนำไปปรับปรุงต่อได้
คอนเซปต์ของนักเทนนิสอาชีพอย่าง Zheng Qinwen ได้แรงบันดาลใจจากมรดกทางวัฒนธรรมของจีน ส่วน Nike Air จะมาในรูปของมังกรขดตัว ให้การรองรับและความกระชับ โดยมีเกล็ดมังกรเป็นดีไซน์ของส่วนยึดเกาะที่มีความทนทาน
เมื่อนำคอนเซปต์นี้กลับมายังห้องทำงาน ดีไซเนอร์ในทีมคนหนึ่งถือชิ้นงานตัวอย่างของ Qinwen ขึ้นมา แสงที่อยู่เหนือโต๊ะส่องสะท้อนสี Total Orange ของส่วน Air ที่ขดตัวเป็นรูปมังกร รอยบากบนส่วนคลิป ซึ่งมีลักษณะการเรียงตัวเป็นเกล็ดมังกรและทำหน้าที่เป็นส่วนยึดเกาะ มีรูปแบบเรขาคณิตที่เข้ากับส่วน Air ด้านล่าง แต่รอยบากนี้จะเห็นได้ชัดเมื่อส่องดูใกล้ๆ เท่านั้น
ในโปรโตไทป์ตัวแรกๆ เท็กซ์เจอร์บนคลิปไม่ได้เหมือนเท็กซ์เจอร์ของส่วน Air ด้านล่าง ดีไซเนอร์สายออกแบบเชิงคอมพิวเตอร์ของ Nike จึงสร้างตัวอย่างใหม่ขึ้นมาแล้วเน้นการแก้ไขไปที่ลวดลายเพื่อให้เกล็ดมังกรมีรูปทรงเรขาคณิตที่ตรงกับส่วน Air อย่างเพอร์เฟกต์ นอกจากนี้ลวดลายยังเสริมความแข็งแรงผ่านการออกแบบเชิงคอมพิวเตอร์ในจุดที่สึกหรอง่าย ซึ่งเป็นข้อมูลเชิงลึกที่เก็บจากการทดสอบความสึกหรอขณะเล่นเทนนิสอย่างละเอียดและเป็นข้อมูลที่ได้จาก NSRL
"น้อยคนจะได้เห็นความใส่ใจในระดับนี้ที่ต่อเนื่องไปจนได้ดีไซน์ไฟนอลนี้ออกมา" ดีไซเนอร์ในทีมกล่าว "สิ่งสำคัญคือเราทำได้แล้ว"
ไฟนอลคอนเซปต์ของนักกีฬา
กระบวนการเริ่มวนซ้ำขั้นตอนเดิม ทีมดีไซเนอร์เก็บข้อมูลฟีดแบ็กจากตัวอย่าง ปรับปรุงรายละเอียดของต้นแบบสินค้า พิมพ์ส่วนประกอบออกมาเพิ่ม และบางครั้งบางคราวก็ต้องกลับไปที่กระดานวาดแบบ มู้ดบอร์ดในห้องทำงานที่โชว์ชิ้นงานตัวอย่างล่าสุดของทีมนักกีฬาจะถูกนำออกแล้วติดใหม่ด้วยภาพเรนเดอร์กับวัสดุที่เปลี่ยนไปในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง จนในที่สุดรุ่นต้นแบบของ Nike A.I.R. ก็พร้อมสำหรับการเปิดตัวในปารีสด้วยไทม์ไลน์ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นกระบวนการทำซ้ำที่ตรงตามนิยามแบบไม่มีบิดพลิ้ว และยังบอกว่านี่คือกระบวนการครีเอทีฟ แต่ละขั้นตอนคือหินที่ถูกกระเทาะออกไปจากทุกด้านเพื่อเผยให้เห็นงานศิลปะที่ซ่อนอยู่ภายใน
สำหรับ Hoke ตั้งแต่นาทีที่ได้รับบรีฟก็รู้สึกว่าโปรเจกต์สะท้อนวิสัยทัศน์ที่ล่องลอยเหมือนตัวย่อ A.I.R. ของโปรเจกต์เสมอมา Athletes คือคนที่อยู่ ณ ใจกลางของสิ่งที่ Nike ต้องการสร้างขึ้นมา Hoke กล่าว Imagined คือแรงบันดาลใจที่ Nike สะสมรวบรวมจาก AI ในฐานะเครื่องมือข้างกาย Revolution หมายความตรงตัวคือการปฏิวัติวิธีทำงานของ Nike
"การใช้เครื่องมือเจเนอเรทีฟได้อย่างเชี่ยวชาญทำให้เราได้ข้อมูลเชิงลึกจากนักกีฬาในแบบที่ไม่มีใครเข้าถึงได้" Hoke กล่าว "หากขาดคนที่มีทักษะ AI ก็จะสร้างดีไซน์ออกมาให้มีแต่รายละเอียดทั่วๆ ไป แต่หลังจากได้ฟังนักกีฬาของเราแล้ว เราก็รู้ว่าจะควบคุมศักยภาพในเชิงคอนเซปต์ของ AI อย่างไรและใช้มันเข้าถึงหัวใจของสิ่งที่นักกีฬาแต่ละคนต้องการ จนได้เป็นกระบวนการทำงานใหม่ขึ้นมา เราตั้งใจพัฒนาสินค้าอย่างเต็มที่และ AI ก็กลายเป็นเพื่อนร่วมงานสายครีเอทีฟให้กับเรา"
Hoke กล่าวด้วยซ้ำว่าเครื่องมือที่เกิดมาใหม่อย่าง AI ได้มอบความสามารถที่เหนือกว่าการรับฟังให้ดีไซเนอร์ Nike เขาเรียกมันว่านวัตกรรมเชิงพาราเมตริก ซึ่งต่อยอดจากการออกแบบพาราเมตริก (Parametric Design) โดยอัลกอริทึมจะเป็นตัวคิดคอนเซปต์ขั้นตอนออกมาตามอินพุตหรือข้อมูลที่ใส่เข้าไป แล้วกระบวนการดังกล่าวก็จะหยุดตรงนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับแมชชีนจะกลายเป็นเส้นตรงและส่งผ่านถึงกันได้ ราวกับเป็นการส่งไม้ต่อระหว่างแข่งวิ่งผลัด A.I.R. จะท้าทายทีมดีไซน์ของ Nike ให้สร้างความสัมพันธ์ใหม่ที่ต้องใช้กระบวนการทำซ้ำกับเครื่องมือเจเนอเรทีฟของตัวเอง ปรับปรุงข้อมูลอินพุตระหว่างโปรแกรมกับบุคคล แล้วพัฒนาคุณสมบัติของรองเท้าจนกระทั่งสามารถดึงแก่นกลางจริงๆ ของนักกีฬาออกมาได้
Hoke เห็นด้วยว่าการรับฟังเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลจำเพาะที่ดีที่สุดนั้นเริ่มจากความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ Nike ชัดเจนมาตั้งแต่เปิดบริษัทเมื่อนานกว่า 50 ปีก่อนแล้ว แต่สิ่งที่เป็นเรื่องใหม่และน่าทึ่งในหลายๆ ครั้ง เขากล่าว คือ "ความเร็วและความแม่นยำ" ซึ่งดีไซเนอร์ Nike สามารถสร้างได้โดยใช้ AI ร่วมกับความสัมพันธ์ของดีไซเนอร์กับนักกีฬา อนาคตของการออกแบบที่ Nike ไม่ได้อยู่ที่เครื่องมือ แต่เป็นความสัมพันธ์ของ Nike ต่อเครื่องมือที่ใช้ และความสัมพันธ์ระหว่างนักกีฬากับดีไซเนอร์ที่แน่นแฟ้นขึ้นด้วยเครื่องมือเหล่านี้
ในวันที่ 11 เมษายน สินค้าตัวต้นแบบอันเหนือจริงทั้ง 13 ชิ้นจะปรากฏบนแท่นส่องสว่างเพื่อเป็นการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ในงาน Nike On Air แต่ก็อย่างที่ Hoke พูด A.I.R. เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
"เราหันหลังกลับไม่ได้แล้ว" เขากล่าว "รูปแบบและการใช้งาน บรรจบจินตนาการ"