เรามีวิธีพัฒนาสินค้าต้นแบบใหม่ๆ ร่วมกับนักกีฬาอย่างไร


- 7/10/2568
- Words:
รองเท้า Nike ทุกคู่ที่ฉีกกฎเกณฑ์เดิมๆ และสร้างสถิติใหม่ๆ ล้วนเริ่มต้นมาจากการเป็นสินค้าต้นแบบ รองเท้าหลายๆ รุ่นจะเหมือนกันตรงที่ใช้สีดำปกปิดไม่ให้รู้ว่าเป็นต้นแบบ
นักวิ่งมาราธอนสัญชาติอเมริกันอย่าง Conner Mantz ยังคงจำตอนที่เขาได้รับรองเท้า Vomero Premium รุ่นต้นแบบคู่แรกเมื่อเดือนธันวาคมปี 2023 ได้ ส่วนบนของคู่นั้นเป็นสีดำสนิท ส่วน Air Zoom ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่เตะตามากที่สุดของรองเท้าและอยู่ตรงกลางของโฟมพื้นรองเท้าชั้นกลางก็มีเทปแปะบังไว้
เขาถือรองเท้าต้นแบบพร้อมชี้ไปบริเวณรอยจางๆ ที่พาดผ่านพื้นรองเท้าชั้นกลาง "ยังมีรอยเทปให้เห็นอยู่เลยครับ" เขากล่าว "ที่ต้องแปะไว้ก็เพื่อไม่ให้ใครเห็นส่วน Air Zoom เวลาผมออกไปวิ่งระยะไกล"
ขั้นตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการสร้างต้นแบบที่เรียกว่า "การปกปิดข้อมูล" ซึ่งเป็นหนึ่งในหลายๆ วิธีที่นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์การกีฬาของ Nike ใช้เพื่อเตรียมการทดสอบรองเท้ารุ่นใหม่กับนักกีฬา เป้าหมายส่วนหนึ่งก็คือเพื่อซ่อนรองเท้าจากสายตาของคนทั่วไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยนักวิทยาศาสตร์จะบดบังลักษณะเด่นของรองเท้า (เช่น ส่วนบนหรือเค้าโครงด้านข้างของพื้นรองเท้าชั้นกลาง) ทุกครั้งที่มีการนำไปทดสอบในที่สาธารณะ อย่างไรก็ดี การเก็บรองเท้าต้นแบบเป็นความลับก็มีจุดประสงค์เพื่อตัวนักกีฬาเองด้วย เป้าหมายในการออกแบบการวิจัยทดสอบเช่นนี้คือเพื่อลดทอนปัจจัยกวนที่อาจส่งผลต่อสมรรถนะของนักกีฬาให้เหลือน้อยที่สุด ซึ่งก็รวมถึงการป้องกันไม่ให้นักกีฬาเกิดความลังเลเพราะรองเท้าต้นแบบอาจจะดูแปลก เตะตา หรือหลุดโลกแบบสุดๆ นักวิจัยจะพยายามแยกเก็บเฉพาะข้อมูลการตอบสนองของร่างกายนักกีฬาเวลาใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยไม่ต้องการให้คุณลักษณะใดๆ ของรองเท้าไปกระทบกับคำติชมของนักกีฬาตั้งแต่แรกเห็น เพราะเมื่อใจของนักกีฬาไม่ไขว้เขว พวกเขาก็จะจดจ่ออยู่กับแค่ความรู้สึกของการสวมรองเท้าคู่นั้น และได้สัมผัสว่าตัวช่วยลึกลับคู่ใหม่นี้จะก่อให้เกิดข้อได้เปรียบกับตัวเองเวลาลงแข่งอย่างไรบ้าง

เซสชันการเทรนนิ่งโดยใส่รองเท้าต้นแบบในที่สาธารณะนั้นเป็นเหมือนกับปฏิบัติการอำพราง "ถ้าผมออกไปวิ่งบนถนน คนก็จะมาถามเวลารอสัญญาณไฟจราจรว่าผมใส่รองเท้าอะไรอยู่" Mantz กล่าว
รองเท้าต้นแบบคู่แรกๆ ของ Vomero Premium แทบไม่ต่างจากดีไซน์ขั้นสุดท้ายตรงที่ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกเอ๊ะเวลาเห็นครั้งแรก รองเท้ารุ่นนี้เกือบจะจัดได้ว่าเป็นรองเท้าในหมวดสินค้าสไตล์แม็กซิมอลลิสต์อยู่แล้ว ซึ่งก็พอจะมีเหตุผลฟังขึ้นอยู่ประมาณหนึ่ง โดย Vomero Premium เป็นรองเท้าที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใส่ลงแข่งกรีฑาโลกเพราะมีส้นที่หนาถึง 55 มม. มีโฟม ZoomX เต็มชิ้น ตลอดจนส่วน Zoom แบบเปลือยสองจุดบริเวณส้นและปลายเท้า ซึ่งถอดแบบมาจากรองเท้ากรีฑาพื้นตะปูของ Nike
ตอนนั้น Mantz อยู่ในช่วงจังหวะชี้ชะตาสำหรับฤดูกาลแข่งขัน เพราะเขากำลังเผชิญกับการบาดเจ็บที่กระดูกต้นขาทั้งๆ ที่การคัดตัวนักวิ่งมาราธอนโอลิมปิกของสหรัฐฯ ประจำปี 2024 ใกล้จะมาถึงเต็มที การแข่งครั้งนี้คือศึกตัดสินว่าใครจะได้เดินทางไปชิงเหรียญที่ปารีสในช่วงฤดูร้อน บางครั้งการฝึกก็ทำให้เขารู้สึกเจ็บ เขาวิ่งเก็บระยะได้ไม่ตรงตามเป้า เมื่อ Mantz เลือกกลับไปวิ่งบนถนน เขาจึงต้องการโซลูชันแหวกแนวที่ช่วยสร้างพลังความอดทนขึ้นมาใหม่ แล้วเขาก็ได้รองเท้าต้นแบบสุดแหวกแนวคู่ใหม่มาทดสอบ แต่ขั้นตอนการตัดสินใจตั้งแต่การพิจารณาหน้าตารองเท้าต้นแบบไปจนถึงการใช้จริงนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
"สิ่งที่ผมต้องการจากรองเท้าเทรนนิ่งในตอนนั้นคือขอให้เป็นคู่ที่ทำให้ผมกลับมามีความมั่นใจ" Mantz กล่าว "ตอนที่ทีมของผมเอารองเท้าต้นแบบคู่ใหม่ของ Nike มาให้ดู มันเป็นอะไรที่ฉีกไปจากความคาดหมาย มันดูล้นๆ คนที่เห็นก็คิดกันทั้งนั้นแหละว่าถ้าใส่วิ่งน่าจะรู้สึกเทอะทะ"

แฟรนไชส์ Nike Vomero จัดเต็มเรื่องระบบลดแรงกระแทก แต่ Vomero Premium ยกระดับความจัดเต็มและความแปลกใหม่ขึ้นไปอีกขั้น โดยนำส่วน Air Zoom สุดพิเศษจากรองเท้าพื้นตะปู Maxfly 2 และ Victory 2 ของ Nike มาใช้
การทดสอบรองเท้าต้นแบบที่มีความล้ำเพราะระบบลดแรงกระแทกใหม่ๆ อย่างระบบที่ใช้ใน Vomero Premium เป็นกระบวนการที่พิถีพิถัน โดยอาศัยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างนักกีฬา ดีไซเนอร์ และนักวิทยาศาสตร์หลายต่อหลายชั่วโมง เพื่อตัดสินใจว่าคุณสมบัติใดของรองเท้าที่ต้องปรับเพิ่มหรือควรปรับลด แต่อีกหนึ่งภารกิจที่ท้าทายและสำคัญต่อกระบวนการนี้พอๆ กันก็คือ การสร้างความเชื่อมั่นในตัวสินค้าที่อาจจะมีหน้าตาและให้ความรู้สึกต่างไปจากสิ่งที่นักกีฬาสวมใส่จนคุ้นเคย
บางครั้งรองเท้าต้นแบบก็ต้องฝ่าฟันความเชื่อเดิมๆ ที่ฝังรากลึก ในกรณีที่รองเท้าคู่ดังกล่าวใช้เทคโนโลยีซึ่งไม่มีใครเคยคิดมาก่อนว่าจะ "เหมาะ" กับกีฬาชนิดนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นรองเท้าวิ่งพื้นตะปู Nike Maxfly รุ่นนี้เปิดตัวที่โตเกียวเมื่อปี 2021 และเป็นรองเท้าพื้นตะปูคู่แรกที่ใช้ Air Zoom กับการวิ่งระยะ 100 เมตร การใช้ส่วน Air แบบเห็นได้ชัดบริเวณปลายเท้าเป็นภาพที่ดูแปลกตา โดยเฉพาะสำหรับรายการแข่งที่ใครๆ ก็คิดว่าควรจะใส่รองเท้าสไตล์ "น้อยแต่มาก" เพราะรองเท้าพื้นตะปูเรียบๆ ในสไตล์มินิมอลน่าจะตอบโจทย์มากกว่า แต่เมื่อตัดภาพมาท้ายการแข่งที่โตเกียว นักกีฬาที่สวม Maxfly ได้รับเหรียญจากรายการ 100 เมตรทั้งหญิงและชาย แถมยังมีรายการ 200 เมตร, 400 เมตร, 800 เมตรและวิ่งผลัดพ่วงมาอีก กรณีนี้เห็นได้ชัดว่าแนวคิดการปรับดีไซน์ถุงลม Air แบบมีแผ่นรองเพื่อรับแรงตามหลักชีวกลศาสตร์ขณะสปรินท์ประสบผลสำเร็จทั้งจากการที่มีนักกีฬาใช้และจากผลการแข่งขัน
เรามีแนวทางใดที่จะทำให้นักกีฬาเชื่อว่า ถึงแม้รองเท้าคู่ที่ตัวเองกำลังสวมใส่จะใช้งานได้ดีพอ แต่คู่ต้นแบบที่พวกเขาถืออยู่ในมือก็อาจจะสร้างความเซอร์ไพรส์ได้มากยิ่งไปกว่านั้นอีก
"สิ่งที่เราโฟกัสเป็นหลักคือความไว้วางใจ" Tobie Hatfield ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่าย Athlete* Innovation ของ Nike กล่าว "ถ้านักกีฬาไม่รู้สึกว่าเรากำลังดูแลพวกเขาในฐานะปัจเจกบุคคล พวกเขาก็จะไม่มีวันไว้วางใจในตัวสินค้าที่เรารังสรรค์ขึ้นมาให้ การสร้างความไว้วางใจต้องเป็นรากฐานของทุกๆ สิ่งที่เราทำ"
การผลักดันให้นักกีฬาตัดสินใจใช้รองเท้ารุ่นใหม่เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยความไว้วางใจข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นในทางอารมณ์ ทางจิตใจ หรือทางชีวกลศาสตร์ในกรณีของรองเท้า

รองเท้ารุ่นบุกเบิกหลายๆ คู่ของ Nike เริ่มต้นมาจากการเป็นสินค้าทดสอบที่ไม่ได้ดูโดดเด่นอะไร ในภาพนี้คือรองเท้าต้นแบบคู่แรกๆ ของ Alphafly รุ่นแรกที่ใช้สีดำและแปะแถบหุ้มเพื่อซ่อนส่วน Zoom แบบเปลือย
ถ้าแกะรอยย้อนกลับไปดูคู่ต้นแบบของรองเท้าทุกรุ่น คุณจะเห็นว่าดีไซน์ส่วนใหญ่เป็นการตั้งใจนำซิลลูเอทขั้นสุดท้ายมาปรับให้เป็นเวอร์ชันที่หน้าตาดูเรียบๆ ไม่หวือหวา ซึ่งช่วยให้เราทำการวิจัยแบบควบคุมได้ เพราะยิ่งรองเท้าดูดาษดื่นเท่าไร โอกาสที่นักกีฬาจะมีความคิดเห็นที่เกิดจากอคติก็ยิ่งน้อยลงไปด้วย Emily Farina นักวิจัยหลักอาวุโสจากฝ่าย Running Footwear Research ที่ NSRL ย้อนนึกถึงการทดสอบต้นแบบของ Vaporfly 4% ครั้งแรกสุดเมื่อช่วงกลางทศวรรษปี 2010 เธอกล่าวว่าการวิจัยภาคสนามในขั้นต้นของรองเท้ารุ่นนั้นไม่ได้รับความสนใจนักเมื่อเทียบกับรุ่นอื่นๆ ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากการที่ตัวต้นแบบดูไม่มีอะไรเด่น ดีไซน์ในช่วงแรกเริ่มนี้ได้กลายมาเป็นจุดตั้งต้นสำหรับ Vaporfly 4% Elite รองเท้าสุดล้ำที่ Eliud Kipchoge สวมใส่ขณะพิชิตภารกิจ Breaking 2
"ถ้าคุณเห็นรองเท้าต้นแบบในช่วงแรกเมื่อปี 2015 มันดูออกยากมากเลยค่ะว่าเป็นรองเท้ารุ่นไหนกันแน่" Farina กล่าวถึงความหนาและรูปทรงคานโค้งของรองเท้ารุ่นดังกล่าว ซึ่งสองคุณสมบัติที่เป็นเรื่องแปลกในตอนนั้นได้กลายเป็นมาตรฐานของรองเท้าวิ่งลดแรงกระแทกยุคใหม่ "การวัดความสำเร็จต้องดูจากความรู้สึกและผลงานที่คุณทำออกมาได้ ไม่ใช่จากสิ่งที่คุณมองเห็น Nike ได้นำรองเท้าต้นแบบไปที่แคมป์นักวิ่งของ Eliud ในเคนยา ตอนแรกนักวิ่งหลายคนไม่เข้าใจเลยว่าดีไซน์แบบนั้นจะทำให้พวกเขาวิ่งเร็วขึ้นได้ยังไง จนกระทั่งพวกเขาใส่รองเท้าออกไปวิ่งเทมโป จากนั้นก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือแล้วเห็นว่าตัวเองทำความเร็วตามเพซได้ดีขึ้นไม่ต่ำกว่า 30 วินาทีในขณะที่ใช้แรงไปเท่าเดิม"
"การวัดความสำเร็จต้องดูจากความรู้สึกและผลงานที่คุณทำออกมาได้ ไม่ใช่จากสิ่งที่คุณมองเห็น"
Emily Farina, นักวิจัยหลักอาวุโส, NSRL
นาฬิกาจับเวลาคือหนึ่งในสัญญาณของประสิทธิภาพทางชีวกลศาสตร์ที่เข้าใจง่ายที่สุด แค่ถามตัวเองดูว่าใช้แรงเท่าเดิมแต่วิ่งได้เร็วขึ้นใช่หรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ การโน้มน้าวให้นักกีฬาทดสอบต้นแบบต่อไปอีกก็กลายเป็นเรื่องง่ายกว่าตอนแรกมาก โดยไม่สำคัญเลยว่ารองเท้าจะหน้าตาพิลึกแค่ไหน ในหลายๆ ครั้ง จังหวะที่นักกีฬาระลึกว่าตัวเองทำผลงานได้ดีขึ้นก็เกิดแบบไม่ทันตั้งตัว (อย่างที่ Farina ได้พูดถึงนักกีฬาที่ก้มหน้าดูนาฬิกาข้อมือ) โดยเป็นจังหวะที่นักกีฬาทำในสิ่งที่ตัวเองไม่คาดคิดว่าจะทำได้สำเร็จ แล้วก็รู้สึกดีในระหว่างนั้นด้วย สำหรับ Conner Mantz จังหวะนี้เกิดขึ้นขณะวิ่งระยะไกลที่ยูทาห์ เขาสวม Vomero Premium รุ่นต้นแบบลงวิ่ง 22 ไมล์กับกลุ่มคู่ฝึก โดยที่ยังคงอยู่ในระหว่างการเพิ่มพูนความแข็งแรงระดับพื้นฐานเนื่องจากการบาดเจ็บ ผลคือจากระยะทางทั้งหมด เขาทำความเร็วด้วยเพซ 4:30 ไปถึง 4 ไมล์ Mantz ตกใจมากที่ตัวเองรู้สึกดีขนาดนั้น
"จังหวะนั้นแหละที่ผมเริ่มคิดในใจว่า บางทีมันอาจจะมีอะไรไม่ธรรมดาก็ได้นะ" Mantz กล่าวและหัวเราะที่เพื่อนร่วมทีมว้าวุ่นกันไปหมดเพราะดีไซน์ที่ไม่มีอะไรเด่นของรองเท้าต้นแบบ "พวกเขาขอร้องให้บอกว่ารองเท้าใหม่คู่นี้คือรองเท้าอะไร ผมก็ตอบไปว่า 'อย่าไปสนใจอะไรมันเลยน่า'"
แต่นักกีฬาคนอื่นๆ ต้องการข้อมูลเพิ่มอีกถึงจะไว้วางใจต้นแบบได้ นักวิทยาศาสตร์ Nike จึงทดสอบการโต้ตอบของนักกีฬาต่อสิ่งเร้า (หรือที่เรียกว่า "สัญญาณ") หลายรูปแบบ โดยสัญญาณในการวิจัยรองเท้าหมายถึงวิธีต่างๆ ในการวัดว่ารองเท้าส่งผลกับประสิทธิภาพอย่างไร
เมื่อแชมป์โลกอย่าง Faith Kipyegon เข้ามาเยือน NSRL เมื่อเดือนกันยายนปี 2024 เธอก็ได้ทำการทดสอบมากมายหลายอย่างเพื่อให้นักวิทยาศาสตร์ Nike นำข้อมูลเชิงปริมาณไปใช้เป็นรากฐานสำหรับการสนับสนุน Faith ในการเตรียมตัวพิชิตภารกิจวิ่ง 1 ไมล์ภายใน 4 นาทีในปีถัดไป โดยเธอได้ทดสอบ VO2 Max เพื่อศึกษาขีดสมรรถนะของตัวเอง อีกสัญญาณหนึ่งที่นักวิ่งชั้นนำมักจะทำการทดสอบกันเมื่อมาที่ NSRL ก็คือ Submax VO2 โดยนักกีฬาจะต้องวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้าขณะที่สวมหน้ากากออกซิเจน แล้วนำรองเท้ารุ่นต่างๆ มาสลับสับเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์ของการทดสอบนี้คือค่าวัดการใช้ออกซิเจนของร่างกายในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในการเปรียบเทียบรองเท้าแต่ละคู่ในลักษณะนี้ หลักฐานที่บ่งชี้ถึงประสิทธิภาพที่สูงขึ้นก็จะมาจากค่าสถิติของร่างกายที่ดีขึ้นนั่นเอง
แหวกกฎเกณฑ์เดิมๆ เพื่อ Breaking4
ของใหม่ไม่ได้แปลว่าสมบูรณ์แบบเสมอไป อย่างในกรณีภารกิจของ Faith นั้น ดีไซเนอร์รับฟังคำติชมในส่วนสำคัญของเธอทุกๆ รายละเอียด เพื่อให้ต้นแบบ Victory Elite FK ของเธอออกมาลงตัว ไม่ว่าจะเป็นการขยายความกว้างของส่วนปลายเท้า หรือการเพิ่มตะปูเพื่อเสริมการยึดเกาะในช่วงออกตัว คำวิจารณ์ของ Mantz สำหรับ Vomero Premium รุ่นต้นแบบก็ตรงไปตรงมาไม่ต่างกัน โดยเขาบอกดีไซเนอร์และนักพัฒนาของ Nike ว่าต้นแบบคู่แรกต้องใช้ส่วนบนที่รองรับได้ดีขึ้น หลังจากผ่านไปไม่กี่สัปดาห์ เขาก็ได้สวมรองเท้าต้นแบบคู่ที่ปรับปรุงใหม่ อย่างไรก็ดี ต้นแบบคู่ที่สองให้ความรู้สึกเหมือนรองเท้าสไตล์ Alphafly ที่เน้นความเร็วมากกว่าที่จะเป็นรองเท้าใส่วิ่งฟื้นกำลัง เขาจึงส่งต่อคำติชมของตัวเองไปให้ทีมดีไซน์ ผลปรากฏว่ารองเท้าต้นแบบเวอร์ชันปรับปรุงใหม่จัดเต็มเรื่องระบบลดแรงกระแทกจนเกือบจะล้นทะลัก Mantz ก็ได้แจ้งว่ารองเท้านุ่มเกินไป ทีมงานจึงปรับเปลี่ยนพื้นรองเท้าชั้นกลางเพื่อหาจุดกึ่งกลางที่ลงตัว ไม่นุ่มเกินไป ไม่เน้นใส่ลงแข่งเกินไป
"Conner ให้คำติชมที่เปิดเผยตรงไปตรงมาเสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับกระบวนการของเรา" Rachel Nichols หัวหน้านักพัฒนาของ Nike Running กล่าว คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการรับคำติชมประกอบไปด้วยทีมเมทหลากหลายคนในทีมดีไซน์สินค้า ซึ่งร่วมงานกันเพื่อปรับปรุงตามคำวิจารณ์ที่ลงรายละเอียดของ Mantz สำหรับรองเท้าต้นแบบแต่ละเวอร์ชัน
การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดำเนินต่อไปจนมาถึงต้นแบบเวอร์ชันที่ห้า ซึ่งเป็นคู่ที่ออกมาลงตัวพอดี เขากลับมาวิ่งฝึกซ้อมได้มากกว่า 120 ไมล์ต่อสัปดาห์ และที่สำคัญคือเขารู้สึกมั่นใจอีกครั้ง เพราะมีรองเท้าเทรนนิ่งที่ทำงานได้สอดคล้องกับสภาพร่างกายแม้ว่าระยะทางที่ต้องเก็บจะไม่น้อยเลย

ภาพตัวอย่างลำดับการปรับพื้นรองเท้าชั้นนอกของ Vomero Premium รุ่นต้นแบบในระยะแรกเริ่ม โดยรองเท้าเวอร์ชันหลังๆ มีการปรับเปลี่ยนเพิ่มหลายอย่าง อาทิ รูปแบบดอกยางที่ลึกขึ้นและฐานที่กว้างขึ้นเพื่อการทรงตัว
คุณรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรต่อจากนี้ Mantz ชนะการแข่งคัดตัวนักกีฬาโอลิมปิกสหรัฐฯ ปี 2024 โดยเข้าเส้นชัยเป็นลำดับที่แปดและคว้าโอกาสไปปารีสได้สำเร็จ ส่วนในตอนนี้ Mantz งัดอาวุธทุกชิ้นในคลังแสง (รวมถึง Vomero Premium) ออกมาใช้เพื่อพิชิตหมุดหมายครั้งใหม่ของตัวเองที่งานวิ่งมาราธอนชิคาโก 2025 โดยตั้งเป้าทุบสถิติเวลา 2:05:38 ในสหรัฐฯ
"Vomero Premium ได้กลายเป็นรองเท้าคู่ที่มีความสำคัญอย่างเหลือเชื่อในเส้นทางอาชีพของผม การใส่รองเท้ารุ่นนี้ฝึกซ้อมช่วยให้ผมรู้สึกเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง" Mantz กล่าว "ผมตั้งตารอคอยให้คนอื่นได้สัมผัสรองเท้าคู่นี้ การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการทดสอบคู่ต้นแบบในช่วงแรกเริ่ม และได้ช่วยให้รองเท้าในขั้นสุดท้ายออกมาดีเต็มศักยภาพ มันมีความหมายกับผมมาก"
"จุดเริ่มต้นของรองเท้าคู่หนึ่งควรจะมาจากการพิจารณาถึงปัญหาที่ต้องการทางออก การรับฟังนักกีฬาจะช่วยให้เราเข้าใจในแก่นของสิ่งที่พวกเขาต้องการ ซึ่งจะก่อให้เกิดความไว้วางใจ"
Tobie Hatfield, ผู้อำนวยการอาวุโส, Athlete* Innovation
สิ่งที่ทำให้สินค้าทุกชิ้นดีขึ้นคือคำติชมแบบไม่อ้อมค้อมจากนักกีฬา ถ้าเวอร์ชันไหนยังไม่สมบูรณ์ก็ต้องรื้อแล้วประกอบขึ้นมาใหม่ เช่นนี้รองเท้าต้นแบบจึงจะมีโอกาสไปถึงฝั่งฝัน Hatfield กล่าวว่า ความไว้วางใจของนักกีฬาไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความสำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดขึ้นมาจากความล้มเหลวด้วย โดยต้องอาศัยความเต็มใจที่จะยอมรับว่าสินค้าชิ้นนั้นๆ ยังขาดตกบกพร่อง เราไม่ได้ทดสอบรองเท้าเฉพาะแค่ในมิติของเทคโนโลยี แม้ว่าสเปรดชีตที่เต็มไปด้วยข้อมูลเชิงบวก หน้ากากออกซิเจน และพื้นรองเท้าชั้นกลางที่ถูกซ่อนจะทำให้การทดสอบน่าตื่นเต้น แต่จุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของความไว้วางใจในสินค้าต้นแบบชิ้นใหม่ก็คือเรื่องธรรมดาๆ ในความสัมพันธ์อย่างการรับฟังความต้องการของนักกีฬา
"เราไม่อยากให้รองเท้าพรางตัวอยู่ในคราบของทางออกที่กำลังมองหาปัญหา" Hatfield กล่าว "แบบนั้นมันกลับตาลปัตร จุดเริ่มต้นของรองเท้าคู่หนึ่งควรจะมาจากการพิจารณาถึงปัญหาที่ต้องการทางออก การรับฟังนักกีฬาจะช่วยให้เราเข้าใจในแก่นของสิ่งที่พวกเขาต้องการ ซึ่งจะก่อให้เกิดความไว้วางใจ"

Vomero Premium ในคู่สีพิเศษที่ถอดแรงบันดาลใจมาจากรองเท้าต้นแบบในช่วงแรกเริ่มวางจำหน่ายวันที่ 2 ตุลาคม "ในฐานะนักกีฬา การที่คำติชมของผมถูกนำไปปรับใช้กับรองเท้าเป็นสิ่งที่มีความหมายมาก" Mantz กล่าว